การเเพทย์เเนวพุทธ






----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อมูลทางบรรณานุกรมของหอสมุดเเห่งชาติ
การเเพทย์เเนวพุทธ
© พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต)
ISBN 974-7891-68-9
: มูลนิธิพุทธธรรม 87/126 ถนนเทศบาลสงเคราะห์ เเขวงจตุจักร์ กรุงเทพฯ 10900
 :ราคา 45 บาท  : 111 หน้า
 --------------------------------------------------------------------------------

ตามหนังสือที่อ้างถึงทามมูลนิธิพุทธธรรมได้เเจ้งความประสงค์ที่จะรวบรวมผลงานของอาตมภาพ ทั้งที่เคยพิมพ์มาก่อนเเล้วเเละจะพิมพ์ต่อไป มาจัดพิมพ์ขึ้นให้ครบทั้งหมด ดังความเเจ้งเเล้วนั้น อาตมภาพเห็นว่าเป็นความดำริที่ดี ทั้งในเเง่ที่เป็นการประมวลผลงานทั้งหมดให้มารวบรวมอยู่ด้วยกันเป็นที่เดียว
    มีข้อสังเกตว่า  เรื่องนี้เป็นปัญหาพิเศษสำหรับสังคมไทย เพราะในขณะเดียวที่เราเองก็มีปัญหาเฉพาะตัวอยู่เเล้ว มาตอนนี้วงการเเพทย์ทั่วโลก ก็เกิดมีปัญหาขึ้นมาอีก เท่ากับว่า วงการเเพทย์ไทยนี่มีปัญหาซ้อนสองชั้น ทั้งปัญหาของตัวเอง เเละปัญหาจากวงการสากลหรือเเพทย์
เรื่องที่เป็นปัญหานี้ เเม้เเต่ในวงการเเพทย์เอง ก็ไม่เเน่จะยอมรับกันทั่วไปหรือไม่ บางท่านอาจจะไม่ยอมรับว่าเป็นปัญหา เเต่เเพทย์เองไม่น้อยทีเดียว ก็บอกว่าเป็นปัญหาเกิดขึ้นเเล้ว เเละคนนอกวงการเเพทย์ก็เอาไปวิพากษ์วิจารณ์กัน
เมื่อพูดว่าเเพทย์รักษาเเต่ร่างกาย บางคนก็ค้านว่าไม่เฉพาะร่างกาย เดี๋ยวนี้เรามีจิตเเพทย์ ซึ่งรักษาโรคหัวใจ เเพทย์จึงไม่ใช่รักษาโรคกายเท่านั้น เเต่รักษาโรคหัวใจด้วย เเต่ก็เเย้งได้อีกว่า เเพทย์ที่รักษาโรคใจหรือโรคจิตเเพทย์ก็ชำนาญพิเศษเฉพาะด้านใจทั้งเเพทย์กายเเละเเพทย์ใจ
บางทีไม่เรียกว่ารักษาอวัยวะหรือร่างกายด้วยซ้ำ เราเรียกว่า "รักษาโรค" คือ หมอไม่ได้รักษาคน ได้เเต่รักษาโรค พูดอีกอย่างหนึ่งว่าเอาเเต่เเก้ไข ไม่ได้รักษาคน ที่ว่ารักษาโรคก็หมายความว่า ตัวจุดเน้นหรือเป้าหมายที่เเพทย์พิจารณาใส่ใจนั้นไม่ใช่ตัวคนไข้หรือชีวิตของคนไข้
    อีกประการหนึ่ง สิ่งที่จะเป็นปัญหามากขึ้นในยุคปัจจุบัน ก็คือการรักษาพยาบาลกลาบเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน เกินวิจัยของบุคคลเเล้วโอกาศที่จะเกิดความวุ่นวายมากขึ้น พร้อมกับการเพิ่มภาวะทางเศรษฐกิจที่จะใช้จ่ายสินเปลืองมากมาย เนื่องจากคนไข้คนเดียวเเต่ต้องเเยกกันไปรักษาเเต่ละอย่างๆ
    ต่อไปชีวิตของคนเรานี้ก็จะเป็นเหมือนกับเครื่องยนต์ชนิดหนึ่ง ซึ่งมีชิ้นส่วนมากมาย เเล้วก็มีผู้เชี่ยวชาญมาเเก้ไขเฉพาะจุดของตนเองที่ตนชำนาญพิเศษ เเล้วไม่มองคนเป็นคน ยิ่งเเยกออกไปรักษาโดยเพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายคน
  นอกจากเเพทย์จะเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง มองเเต่โรคเเละอวัยวะส่วนที่จะรักษา เเยกตัวออกไปจากชีวิตของคนเเล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือ ในเมื่อการศึกษาเเพทย์ เเละระบบการเรียนเเพทย์ที่เป็นอยู่ในเมืองไทยเราเป็นระบบที่มาจากวัฒนธรรมอื่น
    การศึกษาเเบบเเยกส่วนให้ชำนาญเฉพาะด้าน เฉพาะเรื่อง ก็เป็นเรื่องที่มีคุณประโยชน์มาก พอพบเเง่ม่ดีหรือความไม่สมบูรณ์ ก็ไม่ควรถึงกับจะไปดูถูก คือควรจะเตือนสติกันไว้ คนเรานี้มีความโน้มเอียงในทางสุดโต่ง พอเจริญไปข้างหนึ่ง ก็ไปเสียเต็มที่ ไปทางเเยกส่วนชำนาญพิเศษก็ไปเสียจนเต็มที่
สาระสำคัญของการปฏิบัติอย่างนี้ที่เรียกว่าเป็นการพึ่งพาผู้อื่นก็ คือ มันทำให้คนพึ่งตัวเองไม่ได้ ไม่รุ้จักคิดไม่รุ้จักพิจารณาใช้ปัญหา โดยที่ว่าไปฝากชะตา ฝากสุขภาพของตัวเองไว้กับคนอื่น


 สามารถนำไปประยุคต์ใช้ในชีวิตประจำวันสอดคล้องกับ 9 ข้อพ่อสอนไว้ นิสัยเเห่งความดีด้านต่างๆ ดังนี้

1 ความเพียร คือ สิ่งที่จะเป็นปัญหามากขึ้นในยุคปัจจุบัน ก็คือการรักษาพยาบาลกลาบเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน
2 ความพอดี คือ มองเเต่โรคเเละอวัยวะส่วนที่จะรักษา เเยกตัวออกไปจากชีวิตของคนเเล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือ ในเมื่อการศึกษาเเพทย์
3 ความรู้ตน คือ มีผู้เชี่ยวชาญมาเเก้ไขเฉพาะจุดของตนเองที่ตนชำนาญพิเศษ เเล้วไม่มองคนเป็นคน ยิ่งเเยกออกไปรักษาโดยเพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายคน
4 เป็นทั้งผู้รับเเละผู้ให้ คือ ด้วยซ้ำ เราเรียกว่า "รักษาโรค" คือ หมอไม่ได้รักษาคน ได้เเต่รักษาโรค พูดอีกอย่างหนึ่งว่าเอาเเต่เเก้ไข
5 อ่อนโยนเเต่ไม่อ่อนเเอ คือ เรื่องนี้เป็นปัญหาพิเศษสำหรับสังคมไทย เพราะในขณะเดียวที่เราเองก็มีปัญหาเฉพาะตัวอยู่เเล้ว
6 พูดจริงทำจริง คือ เมื่อพูดว่าเเพทย์รักษาเเต่ร่างกาย บางคนก็ค้านว่าไม่เฉพาะร่างกาย เดี๋ยวนี้เรามีจิตเเพทย์ ซึ่งรักษาโรคหัวใจ เเพทย์จึงไม่ใช่รักษาโรคกายเท่านั้น
7 หนังสือเป็นออมสิน คือ ตามหนังสือที่อ้างถึงทามมูลนิธิพุทธธรรมได้เเจ้งความประสงค์ที่จะรวบรวมผลงานของอาตมภาพ ทั้งที่เคยพิมพ์มาก่อนเเล้วเเละจะพิมพ์ต่อไป

8 ความซื่อสัตย์  คือ  การศึกษาเเบบเเยกส่วนให้ชำนาญเฉพาะด้าน เฉพาะเรื่อง ก็เป็นเรื่องที่มีคุณประโยชน์มาก พอพบเเง่ไม่ดีหรือความไม่สมบูรณ์ ก็ไม่ควรถึงกับจะไปดูถูก คือควรจะเตือนสติกันไว้ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น